ภาพหิมะหมู่บ้านเล็กๆ
ขอบคุณบทความบางส่วนเรื่องหมู่บ้านซานตาครอสจาก นสพ ข่าวสด
หากว่าต้องการชมภาพขนาดจริง คลิกได้ที่ภาพ.....
หลังจากเย็นวานหิมะตกตลอดคืนจนกระทั้งเช้าวันนี้ อากาศดีเหลือเกิน เพราะคิดไม่ถึงเลยว่าจะมีแสงอาทิตย์ส่องซึ่งช่วยให้อากาศที่ดูเหมือนหนาวกลับอบอุ่นเป็นอัสจรรย์
เช้านี้เลยตัดสินใจออกไปเดินเพื่อออกกำลังกายอย่างไม่รอช้า เตรียมตัวสวมเสื้อหลายชั้น
อีกทั้งชุดกางเกงก็หลายชั้น หมวก ผ้าพันคอและใบหน้าถุงมือ และที่ลืมไม่ได้ก็คือ กล้องถ่ายรูปเพื่อ
ที่จะเก็บภาพสวยๆ บรรยากาศรอบๆมาเล่าสู่กันฟัง.....
เพราะว่าวันนี้ อากาศดีและอบอุ่นเหลือเกิน มันช่างตื่นตาตื่นใจเหลือเกิน
นกกาออกจากรังเพื่อไปหากิน ได้เสียงมันเรียกร้องคู่รักและครอบครัว
จิ๊บจ๊าบๆ มองไปรอบๆ ล้วนเป็นนกที่คุ้นเคยเห็น ...แต่ขณะที่เดินขึ้นเนินเขาเล็กๆ
สายตาปราดไปเห็นนกหลายตัวบินเล่นกางปีกรับแสงแดด...แต่ทว่า...หนึ่งในนั้น
มันเจ้านกปีกแดงรวมอยู่ด้วย เจ้านกปีกแดงที่ว่านี้ก็คือ เจ้านก คาร์ดินัลนั้นเอง...
นกคาร์ดินัล เกาะอยู่นั้น ข้าพเจ้าพูดเสียงดัง...มันช่างฉลาดเหลือเกิน
เพราะว่ามันไม่เกาะในที่โดเด่น มันแอบเกาะอยู่หลังใบไม้แห้งๆ
อยากที่จะให้จับภาพมันได้ พยายามส่องสายตา ...แต่หามุนไม่ได้
อีกอย่างกิ่งไม้ที่มันเกาะก็อยู่เหนือบ้านของผู้คน ข้าพเจาต้องระวังเรื่องนี้
คือความเป็นส่วนตัวของชาวอเมริกา ที่เขาไม่ชอบให้ใครมาส่องกล้อง
หรือล้ำเข้าเขตุบ้านก่อนได้รับอนุญาติ....ข้าพเจ้าเสียดายโอกาสนี้เป็นอย่างมาก
ได้เดินมุ่งหน้าเพื่อกลับเข้าที่อยู่อาศัย ที่ยังต้องใช้เวลา เพราะว่าเราเดินออกมาไกลมากๆสำหรับการเดินของวันนี้
ในช่วงออกมาจากบ้านระยะแรก ข้าพเจ้าก้มลงมองพื้นก่อนเพื่อว่าจะได้ระวังขณะที่เดินขึ้นเนินเขาใกล้ๆบ้าน
เพราะว่าหลายครั้งที่เดินแล้วเลื่อน ต้องระวังป้องกันไม่ให้หกล้ม พื้นมักจะมีน้ำแข็งเกาะ หรือที่เรียกกันว่าแบล็คไอซ์
มองมักจะไม่ค่อยเห็นน้ำแข็งแบบนี้อันตราย ทำให้เราไม่รู้ตัวว่าเดินอยู่บนแข็งรู้อีกที่ก็ล้มไปกองกะพื้นซะแล้ว
เช้านี้ยังไม่มีผู้คนออกมาเดินเลย เท่าเห็นก็มีเพียงหนุ่นคนหนึ่ง เดินเร็วมาก เป็นชายร่างสุง
ด้านหลังมีกระเป๋าเป๋ เขาสวมเสื้อสีส้มสลับดำ ....สวมหมวกใหมพรมสีเข้าเสื้อและกางแกงยีนส์
เดินหายเข้าไปในโบสถ์ข้างหน้า ข้าพเจ้ามัวแต่ยุ่งอยู่กับการชมวิวรอบๆเลยไม่ได้สังเกตุว่าเขา
เดินหายเข้าไปในโบสถ์แห่งนั้นได้อย่างไร เพราะไม่เห็นมีประตูเปิด-เปิดให้คนเข้าและออกได้
แต่ก็ช่างเหอะ วิวบรรยากาสศยามเช้าสวยกว่าที่จะไปสนใจเรื่องของคนอื่นหรือเรื่องของชาวบ้าน
ข้าพเจ้าเดินชมนกชมไม้ธรรมชาติแต่ก็ไม่ลืมที่จะก้มลงมองพื้นและทางเดินเป็นระยะ
การเดินของข้าพเจ้าไม่รู้สึกว่ามันหนาวเลย เพราะว่าตลอกทางเดิน บรรยากาศราวกับว่าข้าพเจ้า
ได้หลุดหรือหลงเข้าไปในหมู่บ้านซานตาคลอส
พอพูดถึงเรื่องของหมู่บ้านซานต้าครอส...ทำให้ถึงออกว่า ซานตาครอสเขามีหมู่บ้านของเขาจริงๆอยู่โลกใบนี้ด้วย งั้นลองมาฟังดูกันนะครับ....
เรื่องหมู่บ้านซานต้าครอสที่เคยมีการถึงก็มีอยู่ว่า....
ตามตำนาน ซานตาคลอส อาศัยอยู่ในขั้วโลกเหนือ บนภูเขาติดกับพรมแดนรัสเซีย ทางการฟินแลนด์จึงสร้างหมู่บ้านซานต้าขึ้นในเมืองโรวาเนียมี เมืองหลวงของดินแดนแลป แลนด์ เพื่อให้เด็กๆ ทั่วโลกมีโอกาสมาเยี่ยมซานต้า ช่วยทำให้การท่องเที่ยวคึกคักมาก โดยหมู่บ้านซานต้าตั้งอยู่ในเส้นอาร์กติกเซอร์เคิล พระอาทิตย์ไม่ตกในช่วงหน้าร้อน จึงมองเห็นพระอาทิตย์เที่ยงคืนได้ที่นี่
คนฟินแลนด์เรียกซานต้าว่า Joulupukki (จูลูปุกกี) บ้านของซานต้า เปิดต้อนรับนักท่องเที่ยวให้เข้าไปทักทายและพูดคุยกับซานต้าได้ฟรีไม่มีชาร์จ และมีบริการถ่ายรูปกับลุงซานต้าในราคาเริ่มต้นที่ 19 ยูโร ผู้ถ่ายเลือกขนาดรูปได้ตามต้องการ ราคาจะแตกต่างกันไป แต่ขอสงวนสิทธิ์ไม่ให้นักท่องเที่ยวถ่ายรูปด้วยกล้องของตัวเอง
ภายในบ้านซานต้ายังมีบริการขายโปสการ์ดและของที่ระลึกมากมาย ซื้อแล้วไปจัดส่งที่ไปรษณีย์ที่มีให้ได้ตามต้องการ หรือถ้าต้องการทำเซอร์ไพรส์ให้กับใครก็มีบริการให้ซานต้าส่งจดหมายไปหาคนนั้นในวันคริสต์มาสได้ด้วย ค่าบริการราคา 6 ยูโร หรือ 290 บาท
นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ติดใจตราประทับไปรษณีย์ที่สำนักงานไปรษณีย์ของซานต้า เพราะแสตมป์และตราประทับที่นี่จะมีรูปลุงซานต้าติดอยู่บนนั้นด้วย ราคา 2.5 ยูโร หรือราว 120 กว่าบาท ทั้งยังเลือกส่งได้ด้วยว่าจะให้ส่งไปในช่วงเวลาคริสต์มาสหรือในช่วงเวลาปกติเหมือนจดหมายธรรมดาก็ได้ ขณะเดียวกัน บรรดาจดหมายจากเด็กและผู้ใหญ่ทั่วโลกถูกส่งมาหาซานต้าที่ไปรษณีย์แห่งนี้เช่นกัน เฉลี่ยส่งมาถึง 32,000 ฉบับต่อวัน รวมๆ แล้วแต่ละปีจะมีจดหมายส่งมาที่นี่มากถึง 111 ล้านฉบับ รอบๆ หมู่บ้านซานต้าเต็มไปด้วยร้านขายของต่างๆ มากมาย
นอกจากนี้ ยังมีสวนสนุกซานต้า พาร์ก สวนสนุกในดินแดนขั้วโลกเหนือ เพียงแห่งเดียว เป็นเมืองนครใต้พิภพ แม้อุณหภูมิภายนอกจะหนาวยะเยือก แต่ภายในซานต้า พาร์กจะอบอุ่นสบาย เพราะใช้วิทยาการด้านการก่อสร้างที่ทันสมัย
ข้าพเจ้าเดินไปอย่างเงียบๆแม้ว่าบ้างคร้งจะพูมีการสนทนากับคู่ร่วมเดินทางบ้างหากว่าจำเป็น แต่ส่วนลึกของใจที่ไม่มีใครทราบ
นอกจากตัวของข้าพเจ้าเองที่รู้คือ ความสุขแอบซาบซ่านไปทั่วผิวหน้าและร่างกาย ขณะที่เดินไปทุกย่างเท้าที่ได้สัมผัสกับพื้น
จะได้ยินเสียงรองเท้าสัมผัสหิมะ เปรียบได้กับละอองของแป้ง ที่ขาวและเอีด เสียดสีกันเป็นระยะ....
วันนี้เป็นวันที่มีความสุขมากอีกวันหนึ่ง ในช่วงวันหยุด ...เทศการ คริสมาสต์ ต่อด้วยปีใหม่ เป็นการเดินออกกำลังกายที่เอาเงินมากมายเท่าไหรหาซื้อก็ไม่ได้
ที่แรกตั้งใจว่าจะเกินข้ามไปตรงฝั่งตรงข้าม...ซึ่งเป็นทะเลสาบที่ตอนนี้กลายเป็นที่ตกปลา
จะเรียกผู้คนเหล่านี้ว่า"ชาวประมง"หาใช่ไม่...เป็นนักตกปลา ดูจะเหมาะกว่า
คือว่าทุกช่วงหน้าหนาว น้ำเป็นน้ำแข็ง พวกเขาพากันมาจองที่บนพื้นที่ของทะเลสาบเพื่อว่าเจาะมัน(น้ำแข็ง)
บ่อตกปลา .... ....ข้าพเจ้าหยุดมองธารน้ำ(แข็ง)เล็กตรงหน้าอย่างมีความสุข พร้อมกะคิดว่า ควรไปที่ทะเลสาบด้วยจะดีมั้ย?
แต่ทว่า...เดินออกมาอีกทางหนึ่ง...ซึ่งหากว่าย้อนมุ่งหน้าไปทะเลสาบคงจะลำบากมาก เอาไว้วันหน้าก็แล้วกัน
ว่าแล้วตัดสินใจเลิกทางที่จะเดินขึ้นเนินเขา...ซึ่งอาจจะเรียกว่าทางลัดก็ว่าได้....
ม้านั่งริมธาร...เชื่อเชิญให้ลองเข้ามานั่งพักเหนื่อยฮ่า
ผู้คนเริ่มออกมาทำกิจกรรม...ข้าพเจ้าเลือกทางที่เงียบดีกว่า....คือเดินขึ้นเนิน
บนเนินเล็กๆอากาศออกจะหนาวกว่าด้านล่างข้าพเจ้าต้งรีบสวมถุงมือเป็นระยะ
เพราะขณะที่เก็บภาพหากสวมถุงมือมันไม่ถนัดการจับกล้องถ่าย พอเสร็จภาพหนึ่งก็รีบสวม
หากจะเก็บภาพต่อไปก็ถอดถุงมือเป็นแบบนี้ตลอดทาง....
ขณะที่เดินอยู่บนเนินเขานั้น หิมะกลับโปรยละอองสีขาวดั่งฝุยนุ่นลงมาอีกครั้งเหมือนดั่งเป็นการต้อนรับผู้มาเยือน
ข้าพเจ้าเงยหน้าขึ้นมามองละอองหิมะเล็กๆพร้อมกับนึกขอบคุณ...ในใจว่า หิมะน้อยเจ้าเอ่ยเจ้าช่างสวยงาม
ที่สุดในวันนี้ ข้าพเจ้ารีบเก็บความรู้สึกดีดีไว้ให้ลึกที่สุดในหัวใจของข้าพเจ้าเก็บมันไว้นานๆเท่านานเท่าที่จะทำได้
ขณะที่เดินอยู่บนเนินชมบ้านเรือนที่อยู่ในความเงียบสงบ..บ้านเรือนเหล่านี้ช่างสร้างบรรยากาศดูสวย
ไปตามรูปทรง เล็กใหญ่ต่างกันออกไป....ขณะที่เดินตามทางอยู่นั้น มีเด็กชายอายุราว 6-7ขวบ กำลังเดิน
ออกมาจากบ้านของเขาซึ่งขณะนั้นบ้านหลังนั้นโดนหิมะ ปกคลุมขาวดั่งสำลี...เด็กชายคนี้มองหน้าข้าพเจ้าแบบเป็นมิตร
สายตาของเธอช่างน่ารักไม่น้อยไปกว่าหิมะที่กำลังโปรยปรายลงมาอยู่ขณะนี้ ...เธอไม่พูดว่ากระไรแต่สายตาคงจับจองรอ
เพื่อว่าที่ข้าพเจ้าทักทายเธอก่อน....
ข้าพเจ้าเลยตัดสินใจ พูดขึ้นว่า....Hi,How are you ? และก็เป็นจริงอย่างที่ข้าพคิด...เด็กรีบตอบพร้อมยิ้มน้อยมุนปากว่า
I'm fine thanks. ข้าพเจ้ารีบถามต่อว่า where are you going ? ต่อด้วย Your school ? เด็กชายตอบข้าพเจ้าด้วยคำว่า Yes !
ข้าพเจ้าเลยบอกว่า เธอว่า Have fun !!!!.....
เมื่อเด็กชายเดินหายไป...ข้าพเจ้ากลับคิดว่า เอ้วันนี้โรงเรียนเปิดด้วยหรือ?เด็กคนนี้คงไปหาเพื่อนซึ่งอยู่บ้านใกล้ๆอีกฟากหนึ่ง
แต่ก็ช่างเถอะ...ขณะที่เด็กคนนี้เดินไปข้าพเจ้าได้เก็บภาพเบื้องหลังของเขาไว้ได้โดยบังเอิญคือว่าใจนะคิดจะเก็บภาพบ้านหลังหนึ่งซึ่งตั้งอยู่ตรงทางสามแยก
ข้าพเจ้าเงยหน้าขึ้นมองหิมะอีกครั้ง...คราบนี้ละอองน้อยๆของเจ้าหิมะปลิวเข้าลูกนัยตาของข้าพเจ้ามันรู้เย็นสดชื่นที่สุด
เจ้าหิมะเหมือนจะรู้ว่าเวลาของเราใกล้ถึงที่สุด...อีกไม่กี่นาทีข้างหน้าข้าพเจ้าจะเดินลงเนินแห่งนี้ได้....
ที่สุดก็ใกล้จะลงจากเนินเขาได้แล้ว....ทางลัดแห่งนี้พามาบรรจบกับทางที่แรกเดินออกมาจากบ้านนั้นเอง
ข้าพเจ้าเดินลงไหล่เนินเขาอย่างระมัดระวังอีกครั้งหนึ่ง......
บทความที่เขียนยังไม่ตรวจคำผิด...หากบกพร่องต้องขออภัยด้วยขอรับ